โรงเรียนผดุงอิสลาม ก่อนโอนเข้ามูลนิธิผดุงอิสลามนั้น เดิมเป็นโรงเรียนของมัสยิดผดุงอิสลาม (มัสยิดหลังแรกของคลอง 22 และของจังหวัดนครนายก) ในความดูแลรับผิดชอบของคณะกรรมการมัสยิดฯ (แต่ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นทางราชการว่าเป็นโรงเรียนของมัสยิด) มีประวัติเบื้องต้นว่า ตั้งขึ้นเพื่อสอนศาสนาให้แก่เด็กและเยาวชน เป็นบริการให้เปล่าแบบการกุศล 100% ตั้งแต่เริ่มมีชุมชนมุสลิมเกิดขึ้นในคลอง 22 ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากวัฒนธรรมของชาวมุสลิมนั้น เมื่อมีชุมชนมุสลิมเกิดขึ้นในที่ใด ก็จะมีการสร้างมัสยิดเพื่อปฏิบัติศาสนกิจร่วมกันตามหลักการของศาสนาอิสลาม และเปิดสอนศาสนาให้แก่เด็กและเยาวชนด้วย มัสยิดผดุงอิสลามก็เช่นกัน เริ่มแรกมีการสอนศาสนาที่ระเบียงของมัสยิด และด้วยเหตุที่ประชาชนรุ่นแรกของชาวผดุง อิสลามประกอบด้วย ผู้ที่มีฐานะดี ผู้มีความรู้ ผู้รักศาสนาอิสลามขนาดทิ้งอนาคตทางราชการพาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องลูกสาวจากศาสนิกชนอื่น และบางท่านก็มาจากมาเลเซียหรือไปเรียนที่มาเลเซีย ได้เห็นการทำโรงเรียนของพวกมิชชั่นนารี่ที่ปีนัง ฯลฯ ดังนั้น เมื่อมีความพร้อมจึงได้เปิดการเรียนการสอนสายสามัญด้วยในนามของ “ โรงเรียนเพียรบำรุงราษฎร์ ” เมื่อประมาณ พ.ศ. 2473 (ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย 2 ปี) ด้วยเนื่องจากขณะนั้นตามหมู่บ้านต่างๆ ของจังหวัดนครนายกยังไม่มีโรงเรียนสายสามัญ โรงเรียนฯ ได้จัดการเรียนการสอนในอาคารเรียนไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยา เปิดสอนระดับชั้น ป.1 – ป.4 และต่อมาได้ขยายเป็นชั้นมัธยมปีที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2478 นักเรียนรุ่นแรกที่ไปสอบสมทบกับโรงเรียนประจำจังหวัดนครนายกและสอบได้ มี 6 คน หลายคนเข้ารับราชการและเกษียณอายุราชการในตำแหน่งที่สูง เช่น ในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ หรือผู้อำนวยการโรงเรียน และทุกท่านเสียชีวิตแล้ว
เมื่อมีโรงเรียนสามัญของรัฐบาลเกิดขึ้นในคลอง 22 โรงเรียนเพียรบำรุงราษฎร์จึงได้หยุดการเรียนการสอนสายสามัญ แต่ยังมีการสอนศาสนาและภาษาอาหรับ หรือบางตอนก็สอนศาสนาระดับฟัรดูอีนเพียงอย่างเดียว แต่หลักฐานทางราชการที่มีอยู่มีเพียงหลักฐานการเปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนเพียรบำรุงราษฎร์ เป็น “โรงเรียนผดุงอิสลาม” แล้วเท่านั้นคือมีใบอนุญาตเลขที่ 3/2489 เป็นโรงเรียนตามมาตรา 15(2) สอนศาสนาอิสลาม
พ.ศ.2496 – 2502 โรงเรียน ฯ ได้ขยายหลักสูตรตามความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น เปิดสอนศาสนาและภาษาอาหรับ ระดับซานาวี ในภาคปกติอีก หลังจากที่เคยเปิดสอนศาสนาและภาษาอาหรับในชื่อโรงเรียนเพียรบำรุงราษฎร์ดังกล่าวแล้ว ผลิตนักเรียนที่จบชั้นสูงสุดได้เพียง 2 รุ่น (อิหม่าม คอเตบ มัสยิดผดุงอิสลามชุดปัจจุบัน และผอ.คนแรกของโรงเรียนผดุงอิสลาม จบรุ่นที่1 ปีการศึกษา 2500) นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กจากคลอง 22 ส่วนน้อยมาจากที่อื่น เช่น ทรายกองดิน คลอง 17 และ คลอง 15 (นักเรียนที่จบรุ่น 1 และ 2 ได้ไปเรียนต่อประเทศมาเลเซีย 2 คน ที่จะไปประเทศอียิปต์ต้องยกเลิกเพราะเกิดสงครามคลองซุเอซ) ต่อมาการสอนระดับซานาวีได้เริ่มจางและขาดตอนอีกเนื่องจากไม่มีครู และเยาวชนคลอง 22 ไปเรียนต่อสายสามัญมากขึ้น โรงเรียนผดุงอิสลามจึงเปิดบริการเพียงด้านศาสนาระดับฟัรฺดูอีนในภาคเย็น
พ.ศ.2531 – 2545 บรรดาศิษย์เก่าและกรรมการมัสยิดได้เปิดการเรียนการสอนศาสนาและภาษาอาหรับระดับซานาวีในภาคปกติอีกครั้งหนึ่ง ตามความต้องการของชุมชน สังคมมุสลิมและความสามารถในการรับภาระทางด้านการเงินของคณะกรรมการมัสยิด คณะกรรม- การบริหารโรงเรียน และสมาชิกที่ร่วม “ลงขัน” เงิน “สัจจะ“ ช่วยในการดำเนินงานโรงเรียนเป็นรายเดือน และเงินจากผู้มีจิตศรัทธาที่ให้การสนับสนุน ฯลฯ โรงเรียนฯ ได้ผลิตนักเรียนที่จบการศึกษาตามหลักสูตรซานาวี และสามารถไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศทั้งสายสามัญและสายศาสนา ปริญญาตรีในต่างประเทศทั้งในประเทศมาเลเชีย อินเดีย และกลุ่มประเทศอาหรับหลายคน และออกไปเป็นครูสอนศาสนา และบริการสังคมมุสลิมอีกจำนวนมาก (ปี 2555นี้ ครูโรงเรียนผดุงอิสลามชุดปัจจุบันที่สอนทั้งศาสนาและ/หรือสามัญและผู้บริหารที่เป็นศิษย์เก่า จบซานาวีจากโรงเรียนฯ รวม 5 คน)
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) ที่ได้ขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 9 ปี คือ บังคับให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แทนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเริ่มประกาศใช้เป็นกฎหมาย ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2545 เป็นต้นมานั้น เกิดผลกระทบกับนักเรียนหลักสูตรซานาวีของโรงเรียน ฯ ซึ่งรับนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับ หรือ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าเรียน เพราะเด็กและเยาวชนทุกคนต้องเข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 ต่อตามกฎหมาย
พ.ศ.2546 โรงเรียน ฯ ได้ขออนุญาตจากระทรวงศึกษาธิการเปิดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ช่วงชั้นที่ 3 (อิสลามศึกษาควบคู่สามัญ) มัธยมศึกษาปีที่ 1–3 ตามมาตรา 15(1) อีกหลักสูตรหนึ่ง เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ยกมาตรฐานการศึกษาของเด็กนักเรียนในชนบทให้ทัดเทียมเด็กในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ และตามความต้องการของชุมชน ท้องถิ่น และผู้ที่สนใจในเขตจังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม โรงเรียนฯได้รับใบอนุญาต ที่ 20/2546 เรื่อง ขอเพิ่มหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ตั้งแต่ปีการศึกษา 2546 เป็นต้นไป เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2546 ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 60% (ตามจำนวนนักเรียน) เช่นเดียวกับโรงเรียนเอกชนอื่นๆ มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลทุกประการ ส่วนหลักสูตรศาสนาตามมาตรา 15(2) ยังมีเช่นเดิม แต่สอนระดับฟัรดูอีนในภาคเย็น (หยุดพักหลักสูตรซานาวีในภาคปกติ
เมื่อโรงเรียนฯได้ดำเนินการมาได้เพียงปีเดียวก็พบว่า โอกาสที่โรงเรียนฯ จะพัฒนานักเรียนในชนบทให้มีความทัดเทียมทางการศึกษาเช่นเดียวกับนักเรียนในเมืองหลวง หรือเมืองใหญ่ๆ ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้เป็นไปได้ยาก เพราะนักเรียนน้อยได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลน้อย ส่วนที่จะเก็บค่าพัฒนาการศึกษาจากนักเรียน (ตามที่รัฐบาลกำหนดให้เก็บได้) ก็ทำได้ยาก เพราะนักเรียน ขาดแคลนในหลายเรื่อง เช่น นักเรียนเกือบทั้งหมดเป็นลูกชาวนา ฐานะค่อนข้างยากจนหรือเลี้ยงวัวไม่กี่ตัว หรือผู้ปกครองมีอาชีพรับจ้าง หรือเก็บของเก่าขาย หรือทำงานโรงงานและมีลูกมาก หรือนักเรียนหลายคนพ่อแม่ทอดทิ้งให้อยู่กับปู่ ย่า หรือ ตา ยาย หรือพ่อทิ้งให้แม่รับผิดชอบแต่ผู้เดียว หรือทั้งพ่อและแม่ทิ้งให้อยู่กับญาติซึ่งเด็กบางคนไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามีใครรักตน หรือเป็นลูกกำพร้า (บางคนกำพร้าทั้งพ่อและแม่) ฯลฯ สรุปได้ว่าผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะค่อนข้างยากจน มีรายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศและความโชคดี ผู้ปกครองนักเรียนมีรายได้ไม่เกิน 150,000.- บาท/ครอบครัว/ปี โรงเรียนฯไม่สามารถเก็บค่า ธรรมเนียมการศึกษา 3,900.– บาท/คน/ปี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการอนุญาต ให้เก็บ เพื่อนำมาพัฒนาการเรียนการสอนได้ เพียงเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อพัฒนาการศึกษาจากนักเรียนคนละ 500.– บาท/ปี (บางคนยังขอผ่อนชำระและให้โรงเรียนฯซื้อหนังสือเรียนให้ก่อนจนสิ้นปีการศึกษาจึงผ่อนชำระเสร็จ) หรือบางคนไม่มีอาหารเช้า–อาหารกลางวันรับประทาน ให้ครูต้องหาทางช่วยเหลือ แถมนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่มีพื้นการศึกษาค่อนข้างต่ำ จบประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วยังอ่านหนังสือไทยไม่ออกหรืออ่านไม่คล่อง โรงเรียนฯ ต้องจัดโครงการซ่อมเสริมภาษาไทยให้แก่นักเรียนที่มาเข้าชั้น ม.1 เพื่อให้เรียนวิชาอื่นได้ทันเพื่อน ต้องทำตำราเองเพราะไม่สามารถหาหนังสือเล่มใดมาให้นักเรียนเรียนลัดได้ (เมื่อหนังสือไทยยังอ่านไม่ออก–ภาษาอังกฤษและภาษาอาหรับจึงไม่ต้องพูดถึง) แต่การจัดโครงการเพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้านต่างๆ ต้องใช้เงินทุนในการดำเนินงาน โรงเรียนฯ ได้ไปปรึกษาปัญหาที่พบกับหน่วยงานต้นสังกัดที่กองนโยบายพิเศษ (ชื่อเดิมในขณะนั้น) กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อหาทางแก้ไข และได้รับคำแนะนำให้จัดตั้งมูลนิธิ เพื่อปรับให้โรงเรียนฯ เป็นโรงเรียนเพื่อการกุศล
ต้นปี พ.ศ.2548 สัปปุรุษของมัสยิดผดุงอิสลามและลูกหลานที่ไปทำงานที่อื่น ได้ร่วมกันหาทุนและดำเนินการขอจัดตั้ง “มูลนิธิผดุงอิสลาม“ เพื่อโอนโรงเรียนผดุงอิสลามให้กับมูลนิธิฯ เป็นโรงเรียนเอกชนการกุศล ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือจากทางราชการมากขึ้นและมีโอกาสช่วยเยาวชนมุสลิมให้ได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนศาสนาควบคู่สามัญได้มากขึ้น ฯลฯ มูลนิธิผดุงอิสลามได้รับอนุมัติให้จัดตั้งและประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 และผู้รับใบอนุญาตให้ก่อตั้งมูลนิธิได้รับโอนโรงเรียนฯเข้ามูลนิธิผดุงอิสลาม ตามใบอนุญาตที่ นย20/2549 เรื่อง ขอเปลี่ยนแปลงประเภท จากรูปแบบการจัดการศึกษา มาตรา 15(1) ประเภทสามัญศึกษาทั่วไป เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเด็กพิเศษ ยากไร้ และด้อยโอกาส มาตรา 15(3) ประเภทมูลนิธิเพื่อการกุศล เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 การโอนโรงเรียนฯเข้ามูลนิธินี้จะทำให้โรงเรียนฯได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเช่นเดียวกับโรงเรียนที่สำนักพระราชวังเป็นผู้รับใบอนุญาต โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ พระราชูปถัมภ์เพื่อการกุศล หรือโรงเรียนประชาสงเคราะห์ หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามควบคู่สามัญในภาคใต้ หรือโรงเรียนการกุศลของวัดหรือมัสยิดฯ และได้รับการช่วยเหลือด้านเงินอุดหนุนจากทางราชการเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 หลังจากที่โรงเรียนจัดทำ “บัตรค่าเล่าเรียน“ ของนักเรียนที่ผู้ปกครองมีรายได้ / ครอบครัว / ปี ไม่เกิน 150,000.- บาท ส่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเรียบร้อยแล้ว
โรงเรียนได้รับเงินอุดหนุนตามระเบียบของโรงเรียน มาตรา 15 (3) เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ประโยชน์ที่ผู้ปกครองและนักเรียนได้รับคือ นอกจาก ค่าเล่าเรียน ฟรี และ ค่าบำรุงเพื่อพัฒนาการศึกษา ฟรี ( เรียนคอมพิวเตอร์ฟรีด้วย ) แล้ว โรงเรียนยังนำเงินอุดหนุนส่วนหนึ่ง มาช่วยผู้ปกครองและนักเรียน ดังนี้
- จ่ายค่ารถรับ-ส่งให้คนละ 150. – บาท / เดือน หรือ
- ให้ยืมหนังสือเรียน (และส่งคืนเมื่อสิ้นปีการศึกษา) หรือ
- นักเรียนชายที่อยู่นอกเขตรถรับ-ส่ง ให้พักที่หอพักฟรี- มีครูดูแล
- ลูกกำพร้า และเด็กยากจน (มาก) ขอชุดนักเรียนหรือผ้าตัดชุดนักเรียนจากฝ่ายกิจกรรมสตรีของมูลนิธิผดุงอิสลามเพิ่มได้อีก 1 ชุด ขอยืมหนังสือเรียนได้และช่วยเหลือเรื่องอื่นตามความเหมาะสมกับกำลังเงินที่มี หรือเงินที่ได้รับบริจาคที่ได้รับในแต่ละปี
- มีทุนอาหารกลางวัน
เริ่มให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 (ก่อนได้รับเงินอุดหนุน 1 เดือน )
ปีการศึกษา 2552 เมื่อรัฐบาลมีโครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ โรงเรียนฯ ก็สามารถช่วยนักเรียนได้มากขึ้น โรงเรียนฯ ได้นำเงินอุดหนุนในโครงการนี้ ที่ทางราชการให้เงินอุดหนุนในส่วนของผู้ปกครองทั้งหมดมารวมกัน (ยังไม่พอเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนและหนังสือเรียนวิชาอิสลามศึกษา 5 กลุ่มสาระและสามัญอีก 8 กลุ่มสาระ – หนังสือเรียนมากจึงแพงกว่าโรงเรียนสามัญทั่วๆไป ) + เงินอุดหนุนบางส่วนของโรงเรียนมาเพิ่ม ซื้อหนังสือให้นักเรียนได้ยืมเรียนทุกชั้นปี ส่วนชุดนักเรียนนั้นได้ขอให้ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้แก่นักเรียนที่เข้าใหม่ทุกคนๆละ 1 ชุด และเสื้อพละ 1 ตัว แม้ว่าความช่วยเหลือของโรงเรียนที่ให้แก่นักเรียนอาจให้ได้ไม่เท่ากันทุกชั้นปี และโรงเรียนเหลืองบประมาณจำกัดมากจนไม่สามารถซื้ออุปกรณ์การเรียนเพิ่มได้ แต่ก็สามารถลดปัญหาของผู้ปกครองช่วงต้นของปีการศึกษาได้มาก ดังนี้
- นักเรียนใหม่จ่ายค่าสมัคร 20.–บาท ( นักเรียนเก่าไม่ต้องจ่าย )
- ค่าเล่าเรียนฟรี และ ค่าบำรุงการศึกษาฟรี ( เรียนคอมพิวเตอร์ฟรี )
- โรงเรียนฯ นำเงินอุดหนุนที่โรงเรียนได้รับมาช่วยเป็นค่ารถรับ-ส่งให้นักเรียนคนละ 150.– บาท / เดือน ( พี่น้อง 2 คนขึ้นไปเรียนที่โรงเรียนและลูกกำพร้าได้รับความช่วยเหลือคนละ 200.– บาท /เดือน ) ส่วนผู้ที่ไม่ต้องใช้บริการรถรับ-ส่งได้เป็นทุนอาหารกลางวันคนละ 150.–บาท /เดือน แทน
- นักเรียนชายที่อยู่นอกเขตรถรับ-ส่ง มีที่พัก-น้ำ–ไฟฟรี (แทนค่ารถ) และมีครูดูแล กลุ่มมุสลิมะฮ์ของมูลนิธิผดุงอิสลาม ที่ลูกๆ เรียนศาสนาควบคู่สามัญและเป็นมุสลิมที่ดีได้ให้ความอนุเคราะห์แจกชุดนักเรียนแก่นักเรียนเข้าใหม่ทุกคน(เพื่อสนับสนุนให้ส่งลูกหลานมุสลิมเรียนศาสนาควบคู่สามัญ) คนละ 1 ชุด (ชุดนักเรียนหญิง เสื้อแขนยาว–กระโปรงยาว+ ผ้าคลุมหัว ชุดละประมาณ 650.- บาท นักเรียนชาย เสื้อแขนสั้น-กางเกงขายาวราคาประมาณ 450. ) และเสื้อพลศึกษา 1 ตัว
- มีทุนอาหารกลางวัน
ปีการศึกษา 2553 ปีแรกที่กระทรวงศึกษาธิการบังคับให้ทุกโรงเรียนใช้หลักสูตรตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 นั้น โรงเรียนฯ ได้รับอนุมัติให้ขยายชั้นเรียนจากมัธยมศึกษาตอนต้นถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.1- ม.6) และโรงเรียนฯ ได้เริ่มเปิด 2 แผนก่อน คือ แผนการเรียนภาษาอังกฤษ – ภาษาอาหรับ สำหรับเด็กที่เก่งวิชาการ และแผนการเรียนเน้นการงานอาชีพและเทคโนโลยี (พาณิชยการ) สำหรับเด็กที่ไม่เก่งวิชาการแต่มีความสามารถทางด้านอื่น
ปีการศึกษา 2554 ได้เริ่มส่งนักเรียนชื้น ม.4 เข้าสอบชิงทุนการศึกษาไปเรียนต่อต่างประเทศ และสอบได้ไปเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายถึงปริญญาตรีที่ประเทศตุรกี 1 คน และตั้งแต่ปีการศึกษา 2555 เป็นต้นไป โรงเรียน ฯ มีโครงการสนับสนุนให้นักเรียนที่เรียนดีคือ คะแนนเฉลี่ยตลอดช่วงชั้น (3 ปี) = 3.5-4.0 สอบชิงทุนการศึกษาไปเรียนต่อต่างประเทศในหลายประเทศ เช่น ตุรกี คูเวต อาหรับอีมีเรตต์ มอร็อคโค โอมาน ฯ โดยการให้นักเรียนและผู้ปกครองติดตามเรื่องทุนจากทางเว็บไซด์ +ผู้บริหารติดต่อให้เท่าที่จะทำได้ และได้ขออนุมัติเปิด แผนการเรียนเน้นการงานอาชีพและเทคโนโลยี ( คอมพิวเตอร์ ) อีก 1 แผน ตามความพร้อมของโรงเรียน ฯ ความเจริญของชุมชนและความต้องการของผู้ปกครองส่วนมากที่ตอบแบบสอบถามมา และในปีการศึกษา 2553-2554 รัฐบาลได้มีโครงการเรียนฟรี 15 ปีฯ ต่อ โรงเรียนฯ ได้บริหารจัดการนำเงินอุดหนุนทั้งหมดที่รัฐบาลให้โรงเรียน ผู้ปกครอง และนักเรียนทั้งภาคต้นและภาคปลายมารวมกันสามารถซื้อหนังสือให้นักเรียนทุกชั้น (ทั้ง ม.ต้นและม.ปลาย) ยืมเรียน ทั้งๆ ที่หนังสืออิสลามศึกษาควบคู่สามัญราคาสูงกว่าเงินที่รัฐอุดหนุนเกือบเท่าตัว โรงเรียนฯ ได้ช่วยเหลือนักเรียน สรุปได้ดังนี้
- ค่าเล่าเรียนฟรี
- ค่าบำรุงการศึกษาฟรี ( เรียนคอมพิวเตอร์ฟรี )
- ให้ยืมหนังสือเรียนฟรีทุกชั้นปี ( ส่งคืนเมื่อลาออกหรือสิ้นปีการศึกษาและชดเชย
ค่าหนังสือที่ทำเสียหายตามราคาหน้าปก ) นักเรียนชั้น ม.ปลายแผนการงานอาชีพ ค่าหนังสือเรียนแพงมาก แม้จะบริหารการเงินอย่างไร โรงเรียนฯก็ต้องออกค่าหนังสือเรียนให้อีกคนละ 700. -1,100.–บาท
- ผู้ที่ต้องเดินทางด้วยรถรับ-ส่ง เสียค่ารถรับ-ส่งตามระยะทาง (ช่วยทุกคนทั้งการศึกษาภาคบังคับ ม.1-ม.3 และสมัครใจ ม.4-ม.6) โดยโรงเรียนฯเอาเงินอุดหนุนมาจ่ายแทนให้คนละ 150.–บาท/เดือน (พี่น้อง 2 คนเรียนที่โรงเรียนฯ หรือลูกกำพร้าได้รับการช่วยเหลือคนละ 200.–บาท/เดือน หรือเด็กยากไร้ในโครงการดูแลช่วยเหลือนักเรียนจะได้เพิ่มจาก 150.-บาท เป็น 200.–บาทหลังจากครูไปเยี่ยมบ้านแล้ว) ส่วนผู้ที่ไม่ต้องเดินทางด้วยรถรับส่งได้รับเงิน 150.–บาท/เดือน เป็นค่าอาหารกลางวันแทน
- นักเรียนชายที่อยู่นอกเขตรถรับ-ส่ง มีที่พัก-น้ำ-ไฟ ฟรี มีครูดูแล ส่วนนักเรียนหญิงที่มาพักในชุมชนได้รับการช่วยเหลือเรื่องค่าน้ำ-ไฟ
- นักเรียนหญิงชั้น ม.1 และ ม.4 โรงเรียน ฯ เติมเงินให้ได้เสื้อผ้าคนละ 1 ชุด ( รัฐให้ 2 ชุดเป็นเงิน 450.–บาท แต่ชุดมุสลิมชุดละ 500.–บาทขึ้นไป
- กลุ่มมุสลิมะฮ์ของมูลนิธิผดุงอิสลามแจกชุดนักเรียนให้ลูกกำพร้า 2 ชุด
- ลูกกำพร้าและเด็กยากไร้ได้รับความช่วยเหลือในโครงการ “ช่วยเหลือลูกกำพร้าและเด็กยากไร้ “ ตามที่มีผู้บริจาค เช่น ทุนอาหารกลางวัน หรือเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้า หรือ ช่วยค่ารถรับ-ส่ง เพิ่มหรือค่าเดินทางฟรี ฯลฯ ซึ่งโรงเรียน ฯ จะแจ้งให้ผู้ปกครองนักเรียนทุกคนทราบเมื่อได้รับการช่วยเหลือมา
*** ดังนั้นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใช้จ่ายเมื่อลูกเรียนที่โรงเรียนผดุงอิสลาม คือ
- นักเรียนเข้าใหม่เสียค่าใบสมัครและค่าสมัคร 20.–บาท
- ค่าประกันอุบัติเหตุ 100. –บาท
- ผู้ปกครองต้องซื้อชุดนักเรียนให้นักเรียนใหม่อีก 2 ชุด ชุดพลศึกษา 1 ชุด และเอาอาหารกลางวันมากินที่โรงเรียน หรือมีค่าอาหารกลางวันให้
- จ่ายค่ารถรับ-ส่งเพิ่มจากที่โรงเรียนออกให้
เพียงเท่านี้ก็สามารถให้ลูกเรียนจนจบช่วงชั้น ( 3 ปี )ได้ ***
และตั้งแต่ปี 2555นี้ เป็นต้นไป ถ้าโครงการเรียนฟรี 15 ปีฯ ยังมีอยู่ต่อไป และผู้ปกครองให้อำนาจโรงเรียนบริหารจัดการได้ นักเรียนจะได้เรียนฟรีเช่นเดียวกับปี 2553 -2556 ที่ผ่านมา